จดทะเบียนบริษัท.COM » ของตกแต่งบ้าน เปิดการค้า จัดตั้ง ที่ไหน ทำเล?

Click to rate this post!
[Total: 1 Average: 5]

ธุรกิจของตกแต่งบ้าน มีรายได้จากอะไรบ้าง

  1. การขายสินค้าตกแต่งบ้าน (Sale of Home Decor Products) รายได้หลักของธุรกิจนี้มาจากการขายสินค้าตกแต่งบ้านเช่น เฟอร์นิเจอร์, ผ้าม่าน, สวนสวย, ตกแต่งห้อง, อุปกรณ์ในบ้าน เป็นต้น

  2. บริการออกแบบภายใน (Interior Design Services) บริการออกแบบภายในบ้านหรือสถานที่อื่น ๆ ที่ลูกค้าต้องการตกแต่ง รายได้มาจากค่าธรรมเนียมการออกแบบและค่าบริการที่เกี่ยวข้อง

  3. การตกแต่งภายนอก (Exterior Decoration) การตกแต่งส่วนภายนอกของบ้านหรืออาคาร เช่น การจัดสวน, การตกแต่งหน้าบ้าน, หรือการตกแต่งพื้นที่กลางบ้าน สร้างรายได้เสริมสำหรับธุรกิจตกแต่งบ้าน

  4. บริการออกแบบหน้าร้านและสถานที่ธุรกิจ (Commercial Design Services) บริการออกแบบหน้าร้าน, ออกแบบภายในสถานที่ธุรกิจ เช่น ร้านค้า, ร้านอาหาร, โรงแรม, สปา, หรือสถานที่อื่น ๆ

  5. บริการซ่อมแซม (Remodeling Services) บริการซ่อมแซมหรือปรับปรุงส่วนภายในหรือภายนอกบ้านหรืออาคาร เพื่อตกแต่งหรือปรับปรุงรูปลักษณ์

  6. การจัดอีเว้นท์และงานแต่งงาน (Event and Wedding Decoration) การจัดอีเว้นท์พิเศษ เช่น งานแต่งงาน, งานเลี้ยง, หรืออีเว้นท์พิเศษอื่น ๆ โดยให้บริการการตกแต่งสถานที่

  7. การจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ (Online Retailing) การขายสินค้าตกแต่งบ้านผ่านร้านค้าออนไลน์ รวมถึงการใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อโปรโมทและขายสินค้า

  8. บริการคอนซัลแตนต์และการปรึกษา (Consultation and Consulting Services) บริการให้คำปรึกษาและความคิดเห็นในการตกแต่งบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ

  9. การสอนหรืออบรม (Teaching or Training) การสอนหรืออบรมเกี่ยวกับศิลปะและวิชาชีพในด้านตกแต่งบ้าน

  10. การจัดแสดงสินค้าและงานแสดงสินค้า (Exhibition and Trade Shows) การจัดแสดงสินค้าหรืองานแสดงสินค้าเพื่อโปรโมทและขายผลิตภัณฑ์หรือบริการในด้านตกแต่งบ้าน

  11. บริการส่งเสริมและการตลาด (Promotion and Marketing Services) บริการในการสร้างความรู้และการโปรโมทสินค้าหรือบริการในด้านตกแต่งบ้าน

  12. การให้บริการด้านการบริหารและโครงการ (Project Management Services) บริการในการบริหารโครงการตกแต่งบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ ตามความต้องการของลูกค้า

วิเคราะห์ Swot Analysis ธุรกิจของตกแต่งบ้าน

การวิเคราะห์ SWOT เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจและประเมินสภาพความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของตนเองในสี่ด้านหลัก คือ Strengths (ความแข็งแกร่ง), Weaknesses (ความอ่อนแอ), Opportunities (โอกาส), และ Threats (อุปสรรค) ดังนั้น เราจะวิเคราะห์ SWOT ของธุรกิจตกแต่งบ้านดังนี้

ความแข็งแกร่ง (Strengths)

  1. ความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์และบริการ มีสินค้าตกแต่งบ้านคุณภาพสูงและบริการออกแบบที่มีความคุ้มค่าและนิยม

  2. ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ทีมงานมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบภายในและการตกแต่งที่มีประสบการณ์

  3. พันธมิตรกับซัพพลายเออร์ ความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ช่วยในการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าคุณภาพสูง

  4. การทำงานที่มีระบบ มีกระบวนการและระบบการทำงานที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ

ความอ่อนแอ (Weaknesses)

  1. ค่าใช้จ่ายสูง การผลิตสินค้าตกแต่งบ้านคุณภาพสูงอาจเกิดค่าใช้จ่ายสูงและส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

  2. การตลาดและการโฆษณา บางครั้งอาจมีความยากลำบากในการสร้างความรู้และโปรโมทสินค้าในตลาด

  3. การแข่งขันที่เข้มงวด ตลาดตกแต่งบ้านมีการแข่งขันที่รุนแรงจากธุรกิจอื่น ๆ ที่มีความคุ้มค่าในสินค้าและบริการเดียวกัน

โอกาส (Opportunities)

  1. การเพิ่มขึ้นของตลาดตกแต่งบ้าน มีความต้องการเพิ่มขึ้นในการตกแต่งบ้านเนื่องจากคนมีความสนใจในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ในบ้าน

  2. การขยายตลาดออนไลน์ การขายสินค้าตกแต่งบ้านออนไลน์มีโอกาสในการเพิ่มกำไรและเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากว้างขึ้น

  3. ความร่วมมือกับสถานที่อื่น การเปิดร้านในพื้นที่ท่องเที่ยวหรือการร่วมมือกับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ

อุปสรรค (Threats)

  1. ความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์เศรษฐกิจอาจส่งผลให้คนลดการจ่ายในการตกแต่งบ้าน

  2. การแข่งขันจากคู่แข่ง มีคู่แข่งในตลาดที่มีสินค้าคุณภาพสูงและราคาแข่งขัน

  3. ความเปลี่ยนแปลงในสไตล์และแนวโน้ม ความเปลี่ยนแปลงในสไตล์และแนวโน้มในการตกแต่งบ้านอาจส่งผลให้คนสนใจสินค้าและบริการใหม่ ๆ

อาชีพ ธุรกิจของตกแต่งบ้าน ใช้เงินลงทุนอะไร

  1. การวางแผนธุรกิจ (Business Planning) การวางแผนธุรกิจเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยคุณระบุวัตถุประสงค์, กลยุทธ์การทำธุรกิจ, กลุ่มเป้าหมายของลูกค้า, และแผนการตลาด คุณอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการสร้างแผนธุรกิจที่สมเหตุสมผล

  2. การหาพื้นที่หรือร้านค้า (Location or Storefront) ถ้าคุณต้องการเปิดร้านค้าที่สามารถให้บริการแก่ลูกค้าโดยตรง คุณจะต้องหาสถานที่หรือร้านค้าที่เหมาะสม ซึ่งอาจต้องใช้เงินเพื่อเช่าหรือซื้อ

  3. ค่าใช้จ่ายในการระงับกิจการ (Operating Expenses) ค่าใช้จ่ายเช่น ค่าสินค้า, ค่าพนักงาน, ค่าเช่า, ค่าโฆษณา, ค่าจัดส่ง, ค่าบริการสื่อสาร, ค่าตรวจสอบ, และค่าใช้จ่ายทั่วไปในการดำเนินธุรกิจ

  4. สินค้าและวัตถุดิบ (Inventory and Supplies) คุณจะต้องลงทุนในการซื้อสินค้าและวัตถุดิบที่ใช้ในการตกแต่งบ้าน เพื่อให้สามารถขายและให้บริการแก่ลูกค้า

  5. การตลาดและโฆษณา (Marketing and Advertising) เพื่อเริ่มต้นธุรกิจและดึงดูดลูกค้า คุณจะต้องลงทุนในการตลาดและโฆษณา เช่น การออกแบบโลโก้, การสร้างเว็บไซต์, การโฆษณาออนไลน์, และอื่น ๆ

  6. อุปกรณ์และเครื่องมือ (Equipment and Tools) หากคุณให้บริการการตกแต่งหรือการออกแบบภายใน คุณอาจต้องลงทุนในอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงาน

  7. การอบรมและความรู้ (Training and Knowledge) การสร้างความเชี่ยวชาญในด้านการตกแต่งบ้านอาจต้องการการอบรมและความรู้เพิ่มเติม ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่าย

  8. สำรองเงิน (Working Capital) คุณต้องมีสำรองเงินเพื่อใช้ในการจ่ายค่าใช้จ่ายรายวันและค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน

  9. การเลือกทางเลือกทางการเงิน (Financial Options) คุณอาจต้องพิจารณาเรื่องการเงินและทางเลือกทางการเงินที่มีอยู่ เช่น การขอสินเชื่อธุรกิจหรือการระดมทุน

  10. การประกันความเสี่ยง (Insurance) คุณอาจต้องลงทุนในการประกันความเสี่ยง เช่น ประกันภัยสินค้าหรือประกันความรับผิดชอบ

อาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจของตกแต่งบ้าน

ธุรกิจตกแต่งบ้านเกี่ยวข้องกับหลายอาชีพและสาขาอาชีพที่ส่งเสริมและรองรับกัน ดังนี้

  1. ออกแบบภายใน (Interior Design) นักออกแบบภายในเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนและออกแบบภายในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ ให้สวยงามและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

  2. นักก่อสร้าง (Contractors) นักก่อสร้างรับเหมาก่อสร้างและปรับปรุงสถานที่ต่าง ๆ ตามแผนภายในที่ถูกออกแบบ

  3. ช่างไม้ (Carpenters) ช่างไม้มีหน้าที่ผลิตและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และสิ่งตกแต่งที่ทำจากไม้

  4. ช่างทาสี (Painters) ช่างทาสีทำหน้าที่ทาสีผนังและพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีสีสันและลวดลายตามแผนภายใน

  5. นักสถาปัตยกรรม (Architects) นักสถาปัตยกรรมมีบทบาทในการออกแบบสถาปัตยกรรมของบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ และปรับปรุงโครงสร้างตามความต้องการของลูกค้า

  6. ช่างไฟฟ้า (Electricians) ช่างไฟฟ้าติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบสายโทรศัพท์ในสถานที่ต่าง ๆ ให้ทำงานอย่างถูกต้อง

  7. ช่างประปา (Plumbers) ช่างประปาติดตั้งระบบประปาและระบบน้ำร้อนในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ

  8. ช่างแก๊ส (Gas Fitters) ช่างแก๊สทำงานกับระบบแก๊สในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้มีการใช้งานที่ปลอดภัย

  9. นักสำรวจสถานที่ (Surveyors) นักสำรวจสถานที่มีหน้าที่วัดและระบุขอบเขตของสถานที่ที่จะตกแต่งหรือก่อสร้าง

  10. ร้านค้าขายสินค้าตกแต่งบ้าน (Home Decor Stores) ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้าน ผ้าม่าน, เฟอร์นิเจอร์, ของตกแต่ง, สินค้าที่ใช้ในการตกแต่งบ้าน, และวัตถุดิบอื่น ๆ

  11. ร้านขายวัสดุก่อสร้าง (Building Materials Stores) ร้านค้าที่จำหน่ายวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ที่นักก่อสร้างและลูกค้าตกแต่งบ้านจำเป็นต้องใช้

  12. ร้านค้าขายเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการตกแต่งบ้าน (Home Improvement Stores) ร้านค้าที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน

    ธุรกิจตกแต่งบ้านเกี่ยวข้องกับหลายอาชีพและสาขาอาชีพที่ส่งเสริมและรองรับกัน ดังนี้

    1. ออกแบบภายใน (Interior Design) นักออกแบบภายในเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนและออกแบบภายในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ ให้สวยงามและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

    2. นักก่อสร้าง (Contractors) นักก่อสร้างรับเหมาก่อสร้างและปรับปรุงสถานที่ต่าง ๆ ตามแผนภายในที่ถูกออกแบบ

    3. ช่างไม้ (Carpenters) ช่างไม้มีหน้าที่ผลิตและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และสิ่งตกแต่งที่ทำจากไม้

    4. ช่างทาสี (Painters) ช่างทาสีทำหน้าที่ทาสีผนังและพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีสีสันและลวดลายตามแผนภายใน

    5. นักสถาปัตยกรรม (Architects) นักสถาปัตยกรรมมีบทบาทในการออกแบบสถาปัตยกรรมของบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ และปรับปรุงโครงสร้างตามความต้องการของลูกค้า

    6. ช่างไฟฟ้า (Electricians) ช่างไฟฟ้าติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบสายโทรศัพท์ในสถานที่ต่าง ๆ ให้ทำงานอย่างถูกต้อง

    7. ช่างประปา (Plumbers) ช่างประปาติดตั้งระบบประปาและระบบน้ำร้อนในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ

    8. ช่างแก๊ส (Gas Fitters) ช่างแก๊สทำงานกับระบบแก๊สในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้มีการใช้งานที่ปลอดภัย

    9. นักสำรวจสถานที่ (Surveyors) นักสำรวจสถานที่มีหน้าที่วัดและระบุขอบเขตของสถานที่ที่จะตกแต่งหรือก่อสร้าง

    10. ร้านค้าขายสินค้าตกแต่งบ้าน (Home Decor Stores) ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้าน ผ้าม่าน, เฟอร์นิเจอร์, ของตกแต่ง, สินค้าที่ใช้ในการตกแต่งบ้าน, และวัตถุดิบอื่น ๆ

    11. ร้านขายวัสดุก่อสร้าง (Building Materials Stores) ร้านค้าที่จำหน่ายวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ที่นักก่อสร้างและลูกค้าตกแต่งบ้านจำเป็นต้องใช้

    12. ร้านค้าขายเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการตกแต่งบ้าน (Home Improvement Stores) ร้านค้าที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน

คําศัพท์พื้นฐาน ธุรกิจของตกแต่งบ้าน ที่ควรรู้

  1. ภายในบ้าน (Interior)

    • คำอธิบาย (ไทย) ส่วนในของบ้านหรือสถานที่ที่มีการตกแต่งเพื่อให้สวยงามและมีความสบาย
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) The inside of a house or a space that is decorated to be attractive and comfortable
  2. เฟอร์นิเจอร์ (Furniture)

    • คำอธิบาย (ไทย) ของเครื่องและเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) Items and furnishings used in a house or a space
  3. ออกแบบภายใน (Interior Design)

    • คำอธิบาย (ไทย) กระบวนการวางแผนและการออกแบบสถานที่ภายในให้มีลักษณะที่สวยงามและเหมาะสม
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) The process of planning and designing the interior of a space to make it attractive and suitable
  4. สี (Color)

    • คำอธิบาย (ไทย) สิ่งที่มอบความลึกและลวดลายให้กับพื้นที่และวัตถุ
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) Something that gives depth and character to spaces and objects
  5. การปรับปรุง (Renovation)

    • คำอธิบาย (ไทย) กระบวนการการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงสถานที่หรือสิ่งก่อสร้าง
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) The process of making changes or improvements to a space or a building
  6. สวนหน้าบ้าน (Front Yard)

    • คำอธิบาย (ไทย) พื้นที่ด้านหน้าของบ้านที่นิยมใช้ในการปลูกพืชหรือตกแต่ง
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) The area in front of a house that is often used for planting and landscaping
  7. ซัพพลายเออร์ (Supplier)

    • คำอธิบาย (ไทย) บริษัทหรือบุคคลที่จัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบสำหรับการผลิตหรือบริการ
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) A company or individual that provides goods or materials for production or services
  8. ร้านค้าขายสินค้าตกแต่งบ้าน (Home Decor Store)

    • คำอธิบาย (ไทย) ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าและของตกแต่งบ้าน
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) A store that sells home decor products and items
  9. สไตล์ (Style)

    • คำอธิบาย (ไทย) ลักษณะหรือแนวทางการตกแต่งที่มีลักษณะเฉพาะ
    • คำอธิบาย (อังกฤษ) The distinctive characteristics or design approach of decoration
  10. แบบแผน (Blueprint)

    • คำอธิบาย (ไทย) แผนผังหรือรายละเอียดของโครงสร้างหรือการตกแต่งบ้าน

จดบริษัท ธุรกิจของตกแต่งบ้าน ทำอย่างไร

  1. วางแผนธุรกิจ (Business Planning)

    • กำหนดวัตถุประสงค์และธุรกิจหลักของคุณ
    • วางแผนกลยุทธ์ธุรกิจและกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจ
  2. เลือกชื่อบริษัท (Choose a Company Name)

    • เลือกชื่อบริษัทที่ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่นและเป็นไปตามกฎหมายของประเทศ
    • ตรวจสอบความพร้อมของชื่อบริษัทในทะเบียนการค้า
  3. ลงทะเบียนบริษัท (Register the Company)

    • ติดต่อหน่วยงานที่รับจดทะเบียนบริษัทในประเทศของคุณ (เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในประเทศไทย) เพื่อขอสิทธิ์ในการใช้ชื่อบริษัทและรับหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
  4. เลือกโครงสร้างธุรกิจ (Choose a Business Structure)

    • กำหนดว่าบริษัทของคุณจะเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทส่วนหนึ่งหรือส่วนตัว
    • สร้างเอกสารสัญญาก่อนรับมือกับคำพิพากษาและการรับรองทางกฎหมายอื่น ๆ
  5. เปิดบัญชีธนาคารธุรกิจ (Open a Business Bank Account)

    • สร้างบัญชีธนาคารที่เป็นของบริษัทแยกจากบัญชีส่วนบุคคล
    • ปรับปรุงระบบการเงินและการบัญชีของธุรกิจ
  6. ขอใบอนุญาตและการรับรอง (Apply for Licenses and Certifications)

    • ตรวจสอบว่าคุณต้องการใบอนุญาตหรือการรับรองเฉพาะในธุรกิจตกแต่งบ้านของคุณ
    • ขอใบอนุญาตหรือการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  7. หาที่ตั้ง (Find a Location)

    • เลือกสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ เช่น ร้านค้าหรือสำนักงาน
  8. ปรับปรุงและตกแต่งสถานที่ (Renovate and Decorate the Space)

    • ตกแต่งและปรับปรุงสถานที่ตามที่คุณต้องการให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
  9. จัดหาอุปกรณ์และวัตถุดิบ (Acquire Equipment and Supplies)

    • หาและจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการตกแต่งบ้านและบริการของคุณ
  10. สร้างแผนการตลาด (Create a Marketing Plan)

    • วางแผนการตลาดเพื่อโปรโมทธุรกิจของคุณและดึงดูดลูกค้า
    • สร้างเว็บไซต์หรือใช้สื่อโฆษณาออนไลน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตลาด

บริษัท ธุรกิจของตกแต่งบ้าน เสียภาษีอะไร

  1. ภาษีเงินได้บริษัท (Corporate Income Tax)

    • นี่คือภาษีที่บริษัทต้องเสียตามรายได้ที่ได้รับจากกิจการของตน
    • อัตราภาษีเงินได้บริษัทอาจแตกต่างกันตามกฎหมายและระเบียบของแต่ละประเทศ
  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax, VAT)

    • ถ้าบริษัทของคุณจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่มีค่าเพิ่ม (VAT-able goods or services) และประเทศของคุณมีระบบ VAT คุณจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและส่งให้หน่วยงานภาษี
  3. ภาษีนิติบุคคล (Corporate Tax)

    • บางประเทศอาจมีภาษีนิติบุคคลที่เป็นเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากภาษีเงินได้บริษัท
  4. ภาษีท้องถิ่น (Local Taxes)

    • บางที่อาจมีภาษีท้องถิ่นที่ต้องเสียตามกฎหมายและระเบียบของพื้นที่ที่บริษัทตั้ง
  5. ภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้าง (Property Tax)

    • ถ้าบริษัทครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง เช่น สำนักงานหรือคลังสินค้า อาจต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้าง
  6. ภาษีสาธารณูปโภค (Excise Tax)

    • ถ้าบริษัทผลิตหรือนำเข้าสินค้าที่มีการเสียภาษีสาธารณูปโภค เช่น สินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจต้องเสียภาษีสาธารณูปโภค
  7. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Special Business Tax)

    • บางประเทศอาจมีภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกลุ่มธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง เช่น การค้าส่งอัญมณีและเครื่องประดับ
  8. อื่น ๆ (Other Taxes)

    • อื่น ๆ ภาษีอาจรวมถึงภาษีต่าง ๆ ที่จำเป็นตามกฎหมายและระเบียบของประเทศที่คุณตั้งธุรกิจ

อ่านบทความทั้งหมด >>> จดทะเบียนบริษัท.com

Accounting in English (รับทำบัญชี ภาษาอังกฤษ)

We provide accounting services by preparing financial statements in English version. Our specialist team will collect your business's financial information in a strict, and simple manner.

We will issue useful financial statements, accurate, and efficient. You can make business decisions with confidence, and spend less time managing accounting work which is safe and reliable.

Whether you are a small or large business. Our services will be fully responsive to your needs and goals. We will support you in developing and growing your business.